วิธีการสอนภาษาอังกฤษที่จะช่วยให้นักเรียนสามารถสื่อสารได้และทำคะแนนสอบได้ด้วย? มีจริงหรือ?
ในแต่ละปีมักจะมีข่าวรายงานดัชนีการจัดอันดับทักษะภาษาอังกฤษโดย EF Education First หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ EF English Proficiency Index (EF EPI) โดยในปี 2020 ที่ผ่านมา ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 89 จัดอยู่ในเกณฑ์ระดับที่ต่ำมาก และมีอันดับต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จากอันดับที่ 74 ในปี 2019 และ 64 ในปี 20181
คำถามที่มักตามมาอยู่เสมอก็คือ เพราะอะไรล่ะ?
หนึ่งในปัญหาหลักที่มักถูกพูดถึงในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยก็คือวิธีหรือแนวทางที่ครูใช้สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่เน้นการท่องจำคำศัพท์และไวยากรณ์ต่างๆ แต่ไม่ได้เน้นเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เรียนเพื่อไปสอบทำคะแนนให้ได้ พอสอบผ่านก็ลืม เพราะไม่ได้ถูกนำไปใช้ต่อ ยิ่งไปกว่านั้น การท่องจำก็น่าเบื่อและไม่ช่วยให้พูดภาษาอังกฤษได้จริงด้วย (อยากรู้ว่าเพราะอะไรคลิกอ่านได้ที่นี่ครับ) เหมือนคนหัดขับรถยนต์ใหม่ๆ ไปเรียนขับรถเพื่อจะสอบเอาใบขับขี่ให้ได้ แต่พอสอบได้ใบขับขี่มา กลับโชคร้ายไม่มีรถให้ขับหรือไม่มีโอกาสได้ขับบ่อยๆ พอต้องมานั่งหลังพวงมาลัยเพื่อจะขับจริงๆ ความคล่องแคล่วและทักษะในการขับจริงก็ไม่ดีเพราะไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนบ่อยๆ
ถึงตรงนี้ คุณครูหรือผู้บริหารโรงเรียนหลายท่านคงเกาหัวพลางพูดว่า ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ระบบมันถูกเซ็ตมาแบบนี้ นักเรียนก็ต้องสอบเพื่อผ่านชั้นเรียน ไหนจะสอบ O-net, GAT-PAT หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก ถ้าไม่ให้เด็กท่องศัพท์ จำไวยากรณ์แล้วจะให้สอนอย่างไรเด็กถึงจะทำข้อสอบได้? มีวิธีการสอนแบบอื่นด้วยหรือที่จะช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้และทำข้อสอบได้ด้วย?
โชคดีที่คำตอบของคำถามนี้คือมีครับ และจริงๆ ก็มีหลายวิธีด้วย เช่น วิธีการสอนแบบ Communicative Language Teaching (CLT) ซึ่ง tesoltree เลือกใช้เป็นแนวทางหลักในการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนพาร์ทเนอร์ของเรา ซึ่งเห็นผลได้อย่างชัดเจนว่า นักเรียนกล้าพูดและใช้ภาษามากขึ้นโดยไม่กลัวที่จะพูดผิด ขณะเดียวกันแนวโน้มของคะแนนสอบ O-net ของนักเรียนกลุ่มนี้ก็มีทิศทางที่ดีขึ้นตามในระยะเวลาที่ได้เรียนในแนวทางนี้ (อยากรู้ว่า CLT มีวิธีการสอนอย่างไร คลิกอ่านเพิ่มตามได้ที่นี่นะครับ)
หรือ Free Voluntary Reading approach ที่ให้นักเรียนได้เลือกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษตามความสนใจได้เองโดยสมัครใจและไม่มีการทดสอบหลังอ่านจบ ซึ่งมีงานวิจัยจากต่างประเทศในปี 2017 แสดงให้เห็นว่า สามารถช่วยเพิ่มคะแนนสอบวัดระดับภาษาอังกฤษได้ โดยทุก 1 ชั่วโมงที่ได้อ่านหนังสือสามารถเพิ่มคะแนนขึ้นได้เฉลี่ย 0.60 คะแนนในการสอบ TOEIC2 ในขณะที่งานวิจัยในปี 2006 ระบุว่า ด้วยการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ 70-100 หน้าต่อสัปดาห์เพียงอย่างเดียวสามารถช่วยให้นักศึกษามหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นสามารถเพิ่มคะแนนสอบ TOEFL ขึ้นได้ 2.0-5.7 คะแนนในทุกๆ 1 สัปดาห์ที่ได้อ่าน3 โดย tesoltree เองก็สนับสนุนแนวทางนี้ด้วยการสร้างห้องสมุดภาษาอังกฤษเล็กๆ ให้กับโรงเรียนพาร์ทเนอร์ของเราและเปิดให้นักเรียนได้เข้ามาเลือกอ่านหนังสือได้ด้วยตัวเองในช่วงพักกลางวันและพัก 10-15 นาทีในแต่ละวัน
นอกจากนี้ วิธีการสอนเหล่านี้อย่าง task-based learning หรือ project-based learning ที่สามารถช่วยให้นักเรียนได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน อีกด้วย ซึ่งโรงเรียนสามารถเลือกและนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทและศักยภาพของโรงเรียนได้
ผมเองคงไม่สามารถฟันธงหรือบอกได้ว่า วิธีการสอนภาษาอังกฤษวิธีใดที่ดีที่สุด และคำตอบของคำถามนี้ก็คงขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่แต่ละโรงเรียนได้วางไว้ แต่บทความนี้คงพอจะช่วยให้ผู้บริหารและคุณครูได้มองเห็นว่า ยังมีแนวทางอื่นๆ ที่เราสามารถทำเพื่อให้นักเรียนไทยสามารถเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างสนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ และสร้างแรงจูงใจที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษในระยะยาวได้ เพียงแต่เราอาจจะต้องยอมรับและเปิดใจที่จะลองวิธีใหม่ๆ ตัวเลือกใหม่ๆ ดูบ้างเพื่อช่วยให้เด็กๆ ของเราสามารถใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่สื่อสารในประชาคมโลกได้นะครับ
อ้างอิง
תגובות